เว็บไซต์ที่มีโค้ดการโจมตีแบบ phishing จะมีผลกระทบต่อ SEO ในหลายๆ ด้าน ดังนี้:
- การลงโทษจากเครื่องมือค้นหา (Search Engine Penalties): หากเครื่องมือค้นหา เช่น Google ตรวจพบว่าเว็บไซต์มีโค้ดที่ใช้ในการโจมตีแบบ phishing หรือมีความพยายามในการขโมยข้อมูลของผู้ใช้ เว็บไซต์นั้นอาจถูกลงโทษโดยการลดอันดับในผลการค้นหา หรือในกรณีรุนแรง อาจถูกถอดออกจากดัชนีการค้นหาทั้งหมด
- การแจ้งเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัย (Security Warnings): เมื่อเว็บไซต์ถูกตรวจพบว่ามีการโจมตีแบบ phishing เบราว์เซอร์ที่มีระบบรักษาความปลอดภัย เช่น Google Chrome หรือ Firefox อาจแสดงการแจ้งเตือนว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ปลอดภัย ซึ่งทำให้ผู้ใช้ไม่กล้าเข้าเว็บไซต์ ส่งผลให้ปริมาณการเข้าชม (traffic) ลดลง
- ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ (User Trust): เว็บไซต์ที่มีการโจมตีแบบ phishing ทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ปลอดภัยและสูญเสียความเชื่อมั่น ซึ่งอาจส่งผลต่อการกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้งในอนาคต นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการแชร์ประสบการณ์ที่ไม่ดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางลบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
- การสูญเสียข้อมูลและลูกค้า (Data and Customer Loss): หากเว็บไซต์ของคุณถูกใช้ในการโจมตีแบบ phishing ไม่เพียงแต่จะทำให้เสีย SEO แต่ยังอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียข้อมูลที่สำคัญหรือข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งอาจทำให้คุณสูญเสียลูกค้าและมีผลกระทบทางกฎหมาย
- การลดลงของคะแนน SEO (SEO Metrics Drop): การถูกแฮ็กและใช้ในการโจมตีแบบ phishing อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ ซึ่งอาจทำให้คะแนน SEO เช่น คะแนนความเร็วของเว็บไซต์ (Page Speed), จำนวนหน้าเว็บไซต์ที่ได้รับการจัดทำดัชนี (Indexed Pages), และการลดลงของเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้ใช้ในเว็บไซต์ (Average Session Duration) ลดลง
- ความเสียหายของลิงก์ขาเข้า (Backlinks): เว็บไซต์ที่ถูกแฮ็กหรือมีโค้ด phishing อาจถูกยกเลิกการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เคยให้ Backlinks ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ SEO เพราะลิงก์เหล่านี้ถูกมองว่าไม่ปลอดภัยและอาจนำมาซึ่งการลงโทษหรือการเสียชื่อเสียง
เพื่อป้องกันผลกระทบทาง SEO เหล่านี้ นักพัฒนาเว็บไซต์และเจ้าของเว็บไซต์ควรมีการป้องกันที่ดีและตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้ SSL Certificates, การอัปเดตซอฟต์แวร์และปลั๊กอินเป็นประจำ, การตรวจสอบและลบโค้ดที่ไม่ปลอดภัย, และการตั้งค่าความปลอดภัยที่เข้มงวด.
